วันพฤหัสบดีที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2554

วิหารเก่า วัดสะแก ปทุมธานี
รูปแบบศิลปะอยุธยา สมัยพระนารายณ์โดยแท้
โดย จีรพัน์ สมประสงค์
          มีผู้คนเข้าไปชมศิลปะโบราณวัตถุ โบราณสถาน ที่วัดสะแก ส่วนมากจะมุ่งไปชมพระอุโบสถ(หลังใหม่) ชมเจดีย์ย่อมุมไม้สิบสอง ชมเจดีย์เก๋งจีน(ถะ) ชมตุ๊กตาคนแคระแบกฐานเสมา รวมทั้งชมใบเสมาหินสลักและเจดีย์กลมทรงลังกา ฯลฯ แต่ทุกคนมักจะลืมและมองข้ามศิลปะโบราณวัตถุ โบราณสถานที่เก่าแก่ที่สุด และน่าจะมีคุณค่าที่สุดของวัดสะแก ไปสิ่งนั้นก็คือบริเวณวิหารเก่าวัดสะแก ซึ่งตั้งอยู่ห่างออกไปทางทิศใต้ของวัด(ถ้าไม่สังเกตจะไม่เห็น) ปัจจุบันวิหารนี้อยู่ในสภาพชำรุดทรุดโทรมมาก แต่กระนั้นก็ยังทิ้งร่องรอยของงานศิลปะกรรมชั้นสูงในสมัยอยุธยาไว้ให้เห็น ให้เราได้ศึกษา ตีความได้บ้างดังนี้
          วัดสะแก ปัจจุบันตั้งอยู่เลขที่  42 หมู่ 2 ตำบลสามโคก อำเภอสามโคก จังหวัดปทุมธานี มีพื้นที่ทั้งหมดประมาณ 37 ไร่ 40 ตารางวา ประวัติการก่อสร้างวัดครั้งแรก เท่าที่พอจะสันนิษฐานจากงานศิลปกรรมที่มีอยู่ในวัดเก่าแก่ที่สุด พอที่จะศึกษาได้ก็คือ วิหารหลังเก่า พระพุทธรูปในวิหารหลังเก่า และเจดีย์ย่อมุมไม้สิบสองหน้าวิหารหลังเก่า 2 องค์นี้เท่านั้น จากการพิจารณาเปรียบเทียบรูปทรง น่าจะมีการสร้างขึ้นในสมัยอยุธยาตอนกลางๆโดยในรูปแบบของงานศิลปกรรมเป็นศิลปกรรมแบบอยุธยาโดยแท้ และในการก่อสร้างวิหารนี้คงมาเสร็จสิ้นลงในสมัยของสมเด็จพระนารายณ์ ซึ่งเขาสู่สมัยอยุธยาตอนปลายนั้นเอง กล่าวคือ
          -สมัยอยุธยาตอนต้นนั้นกำหนดตั้งแต่สมัยพระเจ้าอู่ทอง ถึงสมัยพระชัยราชา รวมเวลา 196 ปี (ระหว่างพ.ศ.1893-พ.ศ.2089)
          -สมัยอยุธยาตอนกลางกำหนดได้ตั้งแต่สมัยพระยอดฟ้า ถึงสิ้นสมัยพระสุธรรมราชา รวมเวลา 110 ปี (ระหว่างพ.ส.2089-พ.ศ.2199)
          -สมัยอยุธยาตอนปลาย กำหนดได้ตั้งแต่สมัยพระนารายณ์ ถึงสิ้นรัชกาลสมเด็จพระที่นั่งสุริยาศอรินทร์ รวมเวลา 111 ปี (ระหว่างพ.ศ.2199-พ.ศ.2310)
         การศึกษาเปรียบเทียบรูปแบบของวิหารหลังเก่าวัดสะแก ปทุมธานี วิเคราะห์ได้จากงานสถาปัตยกรรมรุ่นแรกๆ ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์การสร้างโบสถ์ วิหารนั้นจะนิยมก่อผนังหนาใหญ่โต เป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ผนังสูงระดับเดียวกีน ดูที่ด้านตัดทั้งด้านหน้าและด้านหลังวิหารจะมีจั่วไม่ทึบเรียกว่า “หน้าบัน” ที่หน้าบันนี้จะนิยมจำหลักเป็นลวดลายหรือภาพด้วยความวิจิตรประณีต สวยงาม ที่ตรงปีกสองข้างของอาคารจะมีการลดชั้นลงไปติตั้งต่อออกไปเล็กน้อยเป็นชายคาปีกนก ส่วนในวิหารด้านในจะปรากฏมีเสาสองแถว แม้ในสมัยอยุธยาตอนต้นเสานี้จะทำเป็นเสากลม หรือเสาแบบแปดเหลี่ยม มีการก่อสร้างวิหารตามรูปแบบนี้เรื่อยมาจนถึงสมัยอยุธยาตอนปลาย (สมัยพระเจ้าปราสาททอง พ.ศ.2173-พ.ศ.2198) จึงเปลี่ยนแบบเสาหันมานิยมใช้เสาแบบสี่เหลี่ยมและเสาแบบมีย่อมุมไม้สิบสองกัน เสาที่ปรากฎทั้งสองแถวนี้มีหน้าที่รองรับน้ำหนักของจั่วข้างใน หรือรับจันทันเรียงไปตลอดแนว
          สมัยอยุธยาตอนต้น ตัวอาคารวิหารจะมีระบบที่ยึดถือตามแบบของสุโขทัยและอู่ทอง คือจะต้องมีชายคาด้านข้างยื่นออกไป จะทีเสารองรับน้ำหนักชายคานี้ไว้ที่สำคัญจะไม่ใช้ คันทวย มารองรับน้ำหนักชายคาและมักจะนิยมเจาะช่องลมเป็นแถวๆเป็นเส้นตั้งตรง เป็นชุด อยู่ระหว่างช่วงเสารองรับชายคาทำให้อาคารเหล่านี้มี พาไล (พื้นที่ระเบียงรอบๆอาคาร)สามารถเดินประทักษิณได้โดยรอบ  อาคารแบบนี้ในปทุมธานี ยังมีให้ศึกษาได้ที่วัดสิงห์(วิหารน้อยหลังเก่า)และอีกแห่งที่วัดสะแก อำเภอสามโคก ปทุมธานีนี้เท่านั้น
          สมัยอยุธยาตอนกลาง ระบบเสารายรองรับชายคา เป็นพาไลนี้หายไปส่วนตัววิหารจะมีขนาดเล็กลง และมีการนำเอา คันทวยเข้ามาช่วยตั้งรับน้ำหนักของชายคาแทนเสา คันทวยในรุ่นแรกๆจึงปรากฏว่ามีขนาดใหญ่ เทอะทะ และจ งค่อยๆมีการปรับปรุงพัฒนาให้เล็กลงจนกลายไปเป็นแบบชายคาปีกนกแบบสั้นๆทำให้ชายคาไม่ยื่นออกมามาก พบในปทุมธานีคือที่วิหารน้อย วิหารหลังเก่าที่วักสิงห์ อำเภอสามโคก ปทุมธานี จนถึงสมัยสมเด็จพระนารายณ์จึงเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงไป ส่วนที่ช่องหน้าต่างในสมัยกลางนี้ยังคงเจาะผนังเป็นรูปช่องลมคล้ายซี่ลูกกรงอยู่เช่นเดิม จนถึงสมัยพระเจ้าทรงธรรม (พ.ศ.2163-พ.ศ.2171) และสมัยพระเจ้าปราสาททอง (พ.ศ.2173-พ.ศ.2198) จึงได้มีการปฏิรูปช่องซี่ลูกกรงนี้ไปเป็นช่องหน้าต่างสี่เหลี่ยมแทน
          สมัยอยุธยาตอนปลาย รัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์(พ.ศ.2199-พ.ศ.2231) ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางสถาปัตยกรรมไทยไปอย่างมาก ด้วยในสมัยนี้มีนายช่าง สถาปนิก วิศวกร และศิลปินที่นำเข้ามาจากประเทศฝรั่งเศส โดยได้ถูกส่งเข้ามาสร้าง โบสถ์ วิหาร วัดวาอาราม อาคาร และป้อมปราการ ตลอดจนพระราชวังต่างๆ ทำให้สังคมขณะนั้นเกิดความนิยมชมชอบไปตามแบบแผนการก่อสร้างตามแบบยุโรปกันโดยทั้วไป เช่น จะนิยมสร้างช่องโค้งที่มียอกแหลม(คล้ายทรงเตารีด)ที่เรียกตามแบบว่า อาร์ค(ในต้นแบบจากศิลปะโกธิค) นำรูปแบบนี้มาผสมกับช่องหน้าต่างสี่เหลี่ยมและมีจั่วรูปสามเหลี่ยมทรงป้านวางไว้เหนือหน้าต่างตามแบบศิลปะยุโรปในยุคเรเนซ้อง เมื่อดูจะแลเห็นว่าผสมปนเปกันไป จนแยกได้อย่างชัดเจนกับศิลปะแบบไทยแม้ศิลปกรรมไทย จะมีการเปลี่ยนแปลงมากที่สุดในสมัยราชทูตฝรั่งเศสที่ชื่อ มองซิเออร์เซอร์วาสิเอร์เดอโชมองต์ เข้ามาเมืองไทย(พ.ศ.2227)ก็ตาม คตินิยมที่ชอบเจาะช่องเล็กๆรูปสามเหลี่ยมบนแผงจั่วที่ผนังด้านในอาคารวิหารนี้ก็ยังคงนิยมใช้กันมาตลอดรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์ไปจนถึงสมัยพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ (พ.ศ.2275-พ.ศ.2301)
          สรุปถึงอาคารวิหารหลังเก่าที่วัดสะแก ปทุมธานี ซึ่งมีอิทธิพลของศิลปกรรมอยุธยา สมัยสมเด็จพระนารายณ์ ดังนี้คือ
          1.ที่ฐานของวิหารมีลักษณะฐานเป็นเส้นโค้งตลอดแนวโดยรอบ ที่เรียกว่าฐานเส้นโค้งแบบห้องเรือสำเภา ซึ่งเป็นลักษณะเด่นที่มีการก่อสร้างในสมัยอยุธยา
          2.มีการเจาะช่องโค้งยอดแหลมที่เรียกว่า อาร์ค ตามแบบศิลปะโกธิคในยุโรป มีปรากฏที่ด้านหลังหน้าบันในวิหารเก่าวัดสะแก ปทุมธานี ตามแบบศิลปะอยุธยาสมัยพระนารายณ์โดยแท้ ช่องโค้งที่เจาะไว้นี้เชื่อกันว่าเจาะไว้เพื่อบรรจุพระพิมพ์ดินเผาขนาดใหญ่ไว้
          3.มัช่องหน้าต่างรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าเพียงด้านละ 1 ช่องที่ผนังข้างอาคาร ช่องหน้าต่างมีขนาดไม่ใหญ่มาก พอดูเหมาะกับตัวอาคารทั้งนี้เพื่อให้แสงสว่างเข้าไปในตัวอาคารได้มากขึ้นกว่าแบบเก่า ตามรูปแบบของศิลปกรรมอาคารสมัยอยุธยาตอนปลาย
          4.มีผนังหุ้มกลอง (ผนังด้านหน้าหลังอาคารที่มีจั่วอยู่ด้านบน) ทำการก่อสร้างแบบก่ออิฐถือปูน มีความหนา และทำการฉาบถึงส่วนบนสุด (ถึงอกไก่) ตามแบบศิลปะสมัยอยุธยาตอนปลายโดยแท้
          5.มีหน้าบันเป็นภาพปูนปั้นลวกลายกนกโค้ง แทนหน้าบันที่จำหลักด้วยไม้แบบเดิม
          6.ลวดลายนกโค้งลายก้านขดเป็นวงโค้งตามแบบอิทธิพลฝรั่งเศส แนวศิลปะแบบรอคโคโค แต่ที่วัดสะแกนี้ ลวกลายยังไม่เป็นแบบฝรั่งเศสมากนัก ยังคงผูกลายก้านขดแบบไทยๆให้คงอยู่ได้มาก
          7.ที่ชายคาวิหารเก่า วัดสะแกปทุมธานี นี้ด้านข้างสันนิษฐานว่าน่าจะมีชายคาปีกนกเล็กๆ แต่คงชำรุดแตกหักสูญหายไปหมด ทุกวันนี้จึงไม่มีปรากฏให้เห็น
        8.วิหารเก่า วัดสะแก ปทุมธานีนี้ มีลักษณะเป็นวิหารแบบทรงขนาดเล็กๆไม่มีเสาปรากฎด้านในของวิหารอันเป็นลักษณะการก่อสร้างตามแบบศิลปกรรมสมัยอยุธยาโดยแท้
          ภายในวิหารเก่าที่วัดสะแก ปทุมธานีนี้ ยังปรากฎว่ามีพระพุทธรูปปูนปั้นที่มีลักษณะเก่าแก่ถึงสมัยอยุธยา(โดยดูจากลักษณะตามปฏิมาวิทยา) เป็นพระพุทธรูปประทับนั่งขขัดสมาธิราบปรางมารวิชัย ก่อด้วยอิฐถือปูนฉาบผิวเรียบ มีร่องรอยของการลงรัก ปิดทอง ประทับนั่งหันพระปฤษฏางค์(หลัง)หันชนกันทั้ง 4 องค์ มีองค์ประธานด้านหน้าทางเข้าวิหารเท่านั้นที่มีองค์ขนาดใหญ่ ส่วนอีก 3 องค์หันพระพักตร์ออกไปทั้ง 3 ทิศ ซึ่งจะมีขนาดเล็กรองลงไป พระพุทธรูปทั้ง 4 องค์ 4 ทิศซึ่งประทับนั่งหันหลังชนกันนี้ตรงกลางจะปรากฎรองรอยของพระเจดีย์ดูคล้ายเจดีย์สี่เหลี่ยมย่อมุมไม้สิบสองขนาดเล็กตั้งเป็นตัวเชื่อมด้านหลังพระปฤษฎางค์ทุกองค์สันนิษฐานว่าองค์พระเจดีย์คงมียอดสูง ชาวบ้านเรียกพระพุทธรูปนี้ว่า พระบังเงา โดยเล่าสืบต่อกันมาว่า เจดีย์ที่อยู่ตรงกลาง หลังองค์พระทั้งสี่องค์นี้ด้านล่างของเจดีย์จะเป็นอุโมงค์สร้างเอาไว้เพื่อทำเป็นหลุมเอาไว้หลบภัยจากข้าศึกที่มารุกราน พระประธานที่วิหารเก่าวัดสะแก ปทุมธานีนี้ จึงเป็นพระประธานที่แปลกมาก และมีการพบได้น้อยมากในประเทศไทย ส่วนในจังหวัดปทุมธานี พบที่วิหารเก่าวัดสะแกนี้ เท่านั้น
          มีข้อสันนิษฐานที่น่าคิดมากคือมีการสร้างพระพุทธรูปลักษณะนี้ ที่เมืองหงสาวดี ในประเทศพม่ามาก่อน คือพระเจดีย์ไจปุน(KYAIPUN PAGODA) ซึ่งปัจจุบันอยู่ในประเทศพม่า เจดีย์ไจปุนนี้สร้างขึ้นโดย พระเจ้าธรรมเจดีย์ แห่งเมืองหงสาวดี ไม่ทราบปีพ.ศ. ในการสร้างเป็นเจดีย์ขนาดใหญ่ที่มีรูปทรงแปลกมากคือ เป็นสถาปัตยกรรมพระพุทธรูปก่ออิฐถือปูนประทับนั้งหันหลังพิงกัน 4 องค์เป็นปางมารวิชัย มีขนาดองค์พระใหณ่โตมาก สูงกว่า 20 เมตรทั้ง 4 องค์ หันหลังพิงกันหันหน้าออกไปทั้ง 4 ทิศอันหมายถึงพระอริยาบทพระพุทธเจ้าประจำทิศทั้ง 4 คือ     
                     -พระกกุสันโธ          ประจำทิศตะวันออก
                    -พระโกนาคมน์          ประจำทิศใต้
                     -พระกัสสปะ             ประจำทิศตะวันตก
                     -พระโคคม                 ประจำทิศเหนือ
         ที่ตรงกลางของด้านหลังองค์พระพุทธรูปทั้ง 4 องค์เป็นตัวอาคารก่อขึ้นเป็นรูปทรงสถูป เพื่อบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ รูปแบบอันเป็นลักษณะเด่นเฉพาะของเจดีย์ไจปุน แห่งนี้ ได้ส่งอิทธิพลทางด้านศิลปกรรมในการสร้างสถูปเจดีย์ ให้ประเทศไทยอยู่เฉพาะช่วงหนึ่งคือในสมัยอยุธยา เช่นที่วัดภูมินทร์ จังหวัดน่าน จังหวัดปทุมธานี แห่งที่กำลกล่าวถึงอยู่นี้ เท่านั้น
         บทสรุปในเนื้อเรื่องนี้จึงอาจคาดเดาได้ว่า ชุมชนบริเวณนี้น่าจะเป็นกลุ่มชนชาวมอญ-พม่าที่อพยพเข้ามาในประเทศไทย และคงเป็นกลุ่มชนลกุมแรกที่มาจากเมืองหงสาวดี และเมืองเมาะตะมะ ซึ่งสมเด็จพระนารายณ์ทรงให้เข้ามาตั้งบ้านเรือนอยู่ที่ท้ายบ้านสามโคก ปทุมธานี ช่วงสมัยอยุธยาตอนปลาย ราว พ.ศ.2203 (ถึงวันนี้ก็ประมาณ 338 ปีพอดี) ชาวมอญ-พม่าเหล่านี้ได้จดจำรูปแบบดังกล่าวติดเข้ามาด้วย เมื่อสะสมศรัทธาประกอบกับมีโอกาศเหมาะพอดี จึงได้ร่วมกันทำการสร้างพระประธานทรงดังกล่าวขึ้นที่วัดสะแก ปทุมธานี แห่งนี้และคงสร้างขึ้นภายหลังจากการสร้างวิหารเสร็จแล้วด้วย ถ้าพิจารณาให้ดีจะพบว่า พระประธาน กับตัววิหารไม่ค่อยมีความสัมพันธ์กันเท่าไรนัก
          ส่วนด้านหน้าภายนอกวิหารเก่าวัดสะแก ปทุมธานีแห่งนี้ ปัจจุบันยังปรากฏให้เห็นเจดีย์เหลี่ยมย่อมุมไม้สิบสอง 2 องค์มีรูปแบบเก่าแก่อันเป็นศิลปกรรมที่นิยมสร้างประกอบไว้หน้าพระวิหารกันอย่างมากมายในสมัยอยุธยาตอนปลาย สภาพเจดีย์เหลี่ยมย่อมุมไม้สิบสองทั้งสององค์มีสภาพที่ชำรุดทรุดโทรมมาก ลักษณะของเจดีย์ ตัวองค์ระฆังเป็นรูปทรงสี่เหลี่ยมมีย่อมุม โดยแต่ละมุมทั้ง 4 ด้านของเจดีย์ จะบากเป็นมุมย่อ 3 มุมทั้ง 4 ด้าน(12 มุม) ย่อมุมนี้มีขนาเล็กๆ ซึ่งถ้าเป็นรูปแบบของเจดีย์ย่อมุมไม้สิบสองในระยะแรกๆ (อยุธยาตอนต้นๆ) จะนิยมทำย่อมุมนี้มีขนาดใหญ่และหนามาก ขนาดของเจดีย์ที่หน้าวิหารเก่าวัดสะแกนี้ มีขนาดรูปทรงสมส่วนดีมากคือดูโปร่ง เพรียว เรียวชะรูดขึ้นไป เมื่อดูเปรียบเทียบกับอาคารวิหารเก่าแล้วจะดูเหมาะสมกันได้ดี (ส่วนเจดีย์ทรงกลมลังกานั้นไม่พบ) คำว่าเจดีย์ย่อมุม และมีคำว่าไม้เข้ามาต่อท้ายคำด้วยนี้ก็คงเกิดขึ้นจากการยืมเอาคำของงานช่างไม้มาใช้เรียก แต่ด้วยเจดีย์เป็นงานก่ออิฐถือปูน จึงทำให้บางทีเข้าใจกันสับสนไปว่าเป็นเจดีย์ไม้หรือปูนกันแน่ คงเป็นด้วยเพราะการงานช่างสมัยโบราณ การก่อสร้าทุกแขนงจะต้องมีช่างไม้เข้าไปเกี่ยวข้องอยู่ด้วยเสมอ เลยทำให้เกิดมีการแลกเปลี่ยนขอยืมคำกันมาใช้นั้นเอง เช่น ครั้งหนึ่งสมเด็จกรมพระยานริศรานุวัติวงศ์ ทรงใช้คำที่เป็นงานช่างไม้ แทนการออกแบบงานอยู่เสมอๆคือตอนทำงานปราสาทหรือซุ้มเรือนแก้ว ที่ได้ทรงทำการคัดลอกงานเป็นลายเส้น มาจากงานจิตรกรรมฝาผนังที่คูหาในพระปรางค์วัดมหาธาตุ จังหวัดราชบุรี พระองค์ท่านเองก็ยังใช้คำว่าฟันไม้ แทนการเรียกชื่อของเส้นลวดลายหยักๆของเส้นซุ้มเรือนแก้ว ทรงบันถึกว่า ซุ้มเรือนแก้วนี้ได้ขีดเส้นฟันไม้ทรงนอกมาดูนี่แล้ว เป็นต้น
ข้อมูลจาก...ชมรมอนุรักษณ์ศิลปกรรมและสิ่งแวดล้อม โรงเรียนคณะราษฎร์บำรุงปทุมธานี
ชั้น 2 อาคารปัทมา โทร 025816559 ต่อ 122

วันพฤหัสบดีที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2554

ภูมิปัญญาของจังหวัดปทุมธานี

ดอกไม้ประดิษฐ์/งานปั้นจากดินไทย-ญี่ปุ่น                                                

ปัจจุบันนี้ศิลปะไทยกำลังเป็นที่สนใจ และยอมรับกันอย่างกว้างขวางในระดับสากล เอกลักษณ์ที่เป็นจุดเด่นคือ ความวิจิตร งดงาม ดูอ่อนช้อย สวยงามสะดุดตากว่าศิลปะของหลายชาติ ไม่ว่าจะเป็นจิตรกรรมภาพสีตามฝาผนังวัด ประติมากรรมปูนปั้นตามโบราณสถาน และงานแกะสลักไม้ตามประตูประตูโบสถ์ งานเครื่องปั้นดินเผา งานปั้นตุ๊กตาชาววัง
ศิลปกรรมเหล่านี้ล้วนถูกสร้างสรรค์ขึ้นมาด้วยภูมิปัญญาของบรรพบุรุษผสมผสานกับความละเอียดอ่อนตามลักษณะนิสัยแบบไทยๆ อันเป็นปัจจัยพื้นฐานที่สำคัญต่อการสืบสาน และถ่ายทอดศิลปะไทยให้คงอยู่มาจนถึงวันนี้
ศิลปะการปั้นดินไทยก็เช่นเดียว ได้ถูกยึดเป็นหลักของงานศิลปประยุกต์ และได้พัฒนาจากศิลปะด้านอื่นจากหลายแขนง เพื่อสร้างสรรค์งานที่มีคุณค่า มีความสวยงาม อ่อนช้อย เหมือนจริงตามธรรมชาติ

ประเพณีของจังหวัดปทุมธานี



ประเพณีตักบาตรพระร้อย
เป็นประเพณีอันดีงามของชาวมอญในจังหวัดปทุมธานีที่ทำในเทศกาลออก พรรษาในวันแรม 1 ค่ำ เดือน 11 เป็นต้นไป สืบทอดมานับร้อยปี ด้วยการนำ อาหารคาว-หวานลงเรือมาจอดเรียงรายริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาโดยมีเชือกขึงไว้ เป็นแนวเพื่อรอตักบาตร จากนั้นพระจากวัดต่าง ๆ ก็จะลงเรือมารับบิณฑบาตร จากเรือที่จอดอยู่โดยการสาวเชือกตั้งแต่ต้นจนสุดปลายเชือก หลังจากพิธีตัก บาตรในช่วงเช้าแล้ว ทางวัดจะจัดให้มีงานปิดทองนมัสการพระประธานใน โบสถ์ มีการแข่งเรือ และมหรสพพื้นบ้าน
 
มอญรำ
เป็นประเพณีของชาวรามัญโบราณตั้งแต่สมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช มีการใช้ปี่พาทย์มอญเล่นประกอบการรำและการร้อง ใช้หญิงสาวจำนวน 8-12 คนขึ้นไปรำในงานพิธีมงคล โดยจะแต่งกายชุดของชาวมอญห่มสไบเฉียง เสื้อแขนยาวทรงกระบอกคอกลม เกล้าผมมวยรัดด้วยดอกมะลิ ทัดดอกไม้สดข้างหูและสวมกำไลที่ข้อเท้า
 
เปิงสงกรานต์
เป็นประเพณีสงกรานต์ ข้าวแช่ของชาวไทยรามัญ มีการนำข้าวสุกแช่ลงในน้ำ เย็นลอยดอกมะลิ พร้อมกับจัดอาหารคาวหวาน เป็นสำรับแล้วแห่ไปถวายพระ และญาติผู้ใหญ่ที่เคารพนับถือในวันสงกรานต์ พอตกบ่ายก็จะมีการก่อพระ ทรายและร่วมปล่อยนกปล่อยปลา นำน้ำหอมไปสรงน้ำพระ และยกขบวนไปรด น้ำอวยพรผู้ใหญ่

ประวัติความ เป็นมา         จังหวัดปทุมธานีเป็นจังหวัดเล็ก ที่ อยู่ชานกรุงเทพมหานครไปทางทิศเหนือมิใช่จะมี แต่ดอกบัวงามเพียงอย่างเดียวเท่านั้นยังมีสิ่ง ที่น่าสนใจอีกหลายอย่างเป็นต้นว่านกปางห่าง ที่วัดไผ่ล้อมศูนย์พุทธจักรปฎิบัติธรรม ที่อำเภอคลองหลวงพลับพลาแรกนาขวัญรัชกาล ที่ ที่อำเภอลาดหลุมแก้วตุ่มมอญที่อำเภอ สามโคกพระยอดธงที่วัดไก่เตี้ย กุ้งเต้นและก๋วยเตี๋ยว เรือที่เมืองปทุมที่มีรสอร่อยแปลกกว่าที่ อื่นสถานที่และอาหารดังกล่าวนี้เป็นเรื่องที่ น่ารู้น่าศึกษา และน่าลิ้มรสเป็นอย่างยิ่ง
พูดถึงความสำคัญของเมืองปทุมตามประวัติศาสตร์ มีความสำคัญไม่น้อยกว่าจังหวัดอื่นเลยเพราะเป็น เมืองเก่าที่อายุนานถึง ๓๑๙ ปี (ตั้งแต่ ..๒๒๐๒ ถึง ..๒๕๒๑ ) เป็นเมืองที่มอญหรือชาวรามัญอพยพเข้ามา อาศัยตั้งรากทำมาหากินตั้งแต่ครั้งสมเด็จ พระนารายณ์มหาราชจนถึงกรุงรัตนโกสินทร์ฉะนั้นปทุมธานี จึงมีแปลกแตกต่างกว่าจังหวัดอื่น เช่น ประเพณี และ วัฒนธรรมความเชื่อถือของชาวปทุมธานีจึงมีแปลก แตกต่างกว่าจังหวัดอื่น เช่น ประเพณีส่งข้าวแช่แห่ นกแห่ปลาไปปล่อย มอญซ่อนผ้าทอยสะบ้า มอญ คั่ง และมอญร้องไห้ ฯลฯ
จังหวัดปทุมธานีในอดีต เป็นเมืองปิดแต่ปัจจุบันเป็นเมืองเปิดมีสถานที่ ราชการโรงงานอุตสาหกรรมและสถาบันการศึกษา ระดับสูงในจังหวัดนี้ เช่น โรงเรียนนายอำเภอสถาบัน เทคโนระดับปริญญาเอกที่ชาวเอเชียต้องมา ศึกษาที่นี้บ้านเมือง การประกอบอาชีพและผู้คน เจริญก้าวหน้าอย่างเห็นได้ชัดและกำลังจะพัฒนา ให้เจริญยิ่งขึ้นไปอีกคนจังหวัดอื่นได้อพยพ เข้ามาทำมาหากินมีจำนวนเพิ่มมากขึ้น อย่างรวดเร็ว ฉะนั้นเมืองปทุมธานีจึงมีการเคลื่อนไหว คึกคักตลอดเวลา
ปทุมธานีแล้วแม้แต่อาหารร้านรวง ก็จัดทำอย่างสะอาดและประณีตมีรสชาดอร่อย น่ารับประทาน โดยเฉพาะก๋วยเตี๋ยวเรือด้วยแล้วนับว่า อร่อยเป็นพิเศษเป็นที่ติดใจลูกค้าจำนวนมาก เมื่อใครได้รับประทานชามที่หนึ่งจะต้องสั่ง ชามสองและชามสามอีกจนได้ เพื่อไม่ให้ ขาดระยะเสียจังหวะแห่งความอร่อย
ก๋วยเตี๋ยวเรือเจ้า เก่าที่มีชื่อเสียงมานานกว่าครึ่งศตวรรษจน เป็นที่รู้จักของคนทั่วไปได้แก่ก๋วยเตี๋ยว เรือโกฮับที่รังสิต จนมีผู้นำไป จัดทำภาพยนตร์เพราะเป็นต้นตำหรับก๋วยเตี๋ยวเรือเมือง ปทุมซึ่งเป็นก๋วยเตี๋ยวเนื้อวัวที่ปรุงขึ้นด้วยฝี มือแท้ๆ ไม่ต้องเติมผงชูรสเนื้อก็ยุ่ย เส้นก็นิ่ม น้ำปรุงก็ปรุงได้สัดส่วนพอ เหมาะถูกปากลูกค้ายิ่งนักแต่ละชวมน้ำเนื่ ออยู่ในเกณฑ์พอดีไม่มากไม่น้อยผู้ รับประทานไม่ต้องเติมเครื่องอีก เพราะรสชาดพอ ดิบพอดีเมื่อปรุงเสร็จใหม่ๆ ร้อนๆ ควันฉุยส่ง กลิ่นฟุ้งพอเอาตะเกียบรีบเข้าปากเท่านั้นแหละ เป็นต้องชมเปาะว่าของอร่อยเด็ดดวงจริง สมราคาก็ไม่แพง
ลูกค้าของก๋วยเตี๋ยวเรือ ที่รังสิตด้วยกันหลายสายพอเวลา ๑๑โมงครึ่ง จะเห็นผู้คนทยอยออกมาจากดอนเมืองกรุงเทพฯ ประตูน้ำพระอินทร์ วังน้อย ศาลาจังหวัดปทุมธานี ธัญบุรี รังสิต ใต้ถุนสะพานแก้วนิมิตรเต็มพรืดไปหมด โกฮับทำแทบไม่ทัน บางรายต้องรอนาน เป็นชั่วโมงก็ยังมีคนรอก็ไม่โกรธ เพราะเห็นใจโกฮับซึ่งทำไม่หยุดมือเลย จริง
พอสิ้นบุญโกฮัผู้ขาย ก๋วยเตี๋ยวเรือรุ่นหลังก็ดำเนินรอยตามโกฮับบ้าง ตอนนี้มีก๋วยเตี๋ยวเรือหลายลำรสชาดก็ไม่ แพ้โกฮับเจ้าเก่าแต่ที่ผิดกันคือโก ฮับลอยเรือขายอยู่ในน้ำริมตลิ่งมีน้ำ ใสไหลเย็นเห็นตัวปลา แต่ให้ยอดเยี่ยมอร่อย วิเศษอยู่ถ้าใครไปเที่ยวจังหวัดปทุมธานีหากไม่ได้ รับประทานก๋วยเตี๋ยวเรือละก้อแสดงว่ายังไม่ถึง ปทุมธานีเป็นการพลาดโอกาสไปอย่างน่าเสียดาย
พูดถึงก๋วยเตี๋ยวเรือเมืองปทุมธานีได้นำรายได้ให้ กับสภากาชาดไทยนับเป็นเรือนหมื่นเรือนแสน มาแล้วทุกปี เช่น ในงานกาชาดประจำปี ๒๕๒๐ จังหวัดปทุมธานีร่วมกับเหล่ากาชาดได้ออกร้าน ขายก๋วยเตี๋ยวเรือรวม คืนแต่ละคืนได้เงิน ไม่น้อยกว่า หนึ่งหมื่นบาทขึ้นไปบางคืนได้ สองหมื่นบาทคืนสุดท้ายได้เกือบสามหมื่น รวม แล้วขายก๋วยเตี๋ยว คืนได้เงินแสน
ฉะนั้น นาย สุธี โอบอ้อม ผู้ว่าราชการจังหวัดปทุมธานีเห็นความ สำคัญของอาชีพขายก๋วยเตี๋ยวเรือและเห็นความสามารถใน ฝีมือการปรุงที่ทำรายได้ให้อย่างงดงาม เช่นนี้ จึงสนับสนุนเผยแพร่ชื่อเสียให้ปรากฎ โดยทั่วกันหากผู้ใดผ่านจังหวัดปทุมธานีหรือเคย ได้ยินกิตติศักดิ์ของก๋วยเตี๋ยวเรือเมืองปทุมแล้ว ควร จะได้หาโอกาสไปลองลิ้มชิมรสบ้างซึ่ง มีก๋วยเตี๋ยวเรือจอดขายอยู่บนบกภายในบริเวณ บ้านทรงเรือนไทย ริมเขื่อนแม่น้ำเจ้าพระยา หน้าที่ ว่าการอำเภอเมืองปทุมธานีทุกวันตั้งแต่เวลา ๑๐ นาฬิกาไปถึงเวลา ๑๔ นาฬิกามีทั้งก๋วยเตี๋ยวเนื้อสด ลูกชิ้นก๋วยเตี๋ยวไก่และก๋วยเตี๋ยวหมูให้ท่านเลือกรับ ประทานได้ตามอัธยาศัยรับรองว่าท่านจะไม่ผิด หวังอย่างแน่นอน

คุณค่า/ประโยชน์
เหมาะสำหรับจะเป็นอาหารเที่ยy9;มีคุณค่าทาง อาหารสูงได้ทั้ง โปรตีน จากเนื้อสัตว์ วิตามิน และเกลือ แร่ จากผักสอและน้ำชุบ

วันอังคารที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2554

 หออัครศิลปิน ตั้งอยู่ตำบลคลองห้า สร้างขึ้นเพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ผู้ทรงเป็นเลิศในศิลปะทั้งมวล เป็นที่ประจักษ์ชัดแก่พสกนิกรและศิลปินทั่วโลก เป็นสถานที่จัดแสดงผลงานด้านศิลปและวัฒนธรรมอันทรงคุณค่าของพระองค์ 9 ด้าน คือ ด้านหัตถกรรม ด้านกีฬา ด้านวรรณศิลป์ ด้านจิตรกรรม ด้านถ่ายภาพ ด้านภูมิสถาปัตยกรรม ด้านประติมากรรม ด้านดนตรี และด้านการพระราชนิพนธ์เพลง นอกจากนี้ ยังเป็นที่จัดแสดงประวัติและผลงานอันล้ำค่าของศิลปินแห่งชาติทุกท่านในรูปแบบนิทรรศการภาพและเทคโนโลยีที่ทันสมัยและถ่ายทอดผลงานและภูมิปัญญาของศิลปินแห่งชาติทั้ง 4 สาขา คือ สาขาวรรณศิลป์ ศิลปการแสดง ทัศนศิลป์ และสถาปัตยกรรม
วัดหงษ์ปทุมาวาส (วัดมอญ)
ตั้งอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาฝั่งตะวันตก ตำบลบางปรอก   เป็นวัดที่สร้างโดยชาวมอญที่อพยพหนีพม่ามาไทยในสมัยพระเจ้ากรุงธนบุรี มีสัญลักษณ์ของวัดมอญคือ เสาหงส์ ซึ่งบนยอดเสาเป็นตัวหงส์หมายถึง เมืองหงสาวดี เมืองหลวงของชาวมอญ ปูชนียวัตถุสำคัญของวัดคือ พระพุทธชินราชจำลองปางมารวิชัย เจดีย์มอญจำลองแบบมาจากเจดีย์จิตตะกองในเมืองหงสาวดี วิหารจำลองได้แบบมาจากกรุงหงสาวดีหลังคาเป็นชั้นๆ มีลวดลายที่สวยงามมาก อุโบสถเป็นอุโบสถสร้างใหม่ตามสถาปัตยกรรมของไทย มองเห็นช่อฟ้า ใบระกา หางหงส์ได้แต่ไกล ภายในอุโบสถมีภาพจิตรกรรมฝาผนังเรื่องราวพุทธประวัติและยังมีพระพุทธรูปปางมารวิชัย รูปหล่อหลวงปู่เฒ่าที่ชาวบ้านนับถือ

พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ กาญจนาภิเษก สร้างขึ้นเนื่องในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชทรงครองราชครบ 50 ปี ในปี พ.ศ.2539 เป็นพิพิธภัณฑ์ทางด้าน ชาติพันธุ์วิทยา ตั้งอยู่ ณ ตำบลคลองห้า   เพื่อร่วมเฉลิมฉลองในวโรกาสที่สำคัญยิ่งของพสกนิกรชาวไทย
องค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ (อพวช.) พิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์ ถือได้ว่าเป็นสถานที่จัดแสดงนิทรรศการและกิจกรรมทางวิทยาศาสตร์ ที่เป็นการสื่อสารความรู้ให้กับผู้เข้าชม ให้เข้าใจสาระทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีได้โดยง่าย และสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน เพื่อเป็นการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน ตั้งอยู่ที่ตำบลคลองหก ในบริเวณเทคโนธานี ตัวอาคารโดดเด่นด้วยการออกแบบเป็นรูปลูกเต๋า ภายในจัดแสดงนิทรรศการทางวิทยาศาสตร์ด้วยเทคโนโลยีทันสมัย ที่สามารถสร้างความเพลิดเพลินไปพร้อมกับการเรียนรู้ ชั้นที่ 1 จัดแสดงภาพ และผลงานนักวิทยาศาสตร์ การจำลองลูกโลกขนาดใหญ่ ชั้นที่ 2 จัดแสดงหุ่นจำลอง ลูซี่ ที่ทำจากฟอสซิล เป็นรูปเหมือนที่แสดงถึงการกำเนิดมนุษย์คนแรก ยานอวกาศ และมนุษย์อวกาศจำลอง ชั้นที่ 3 เป็นอุโมงค์เงา และเรือนไม้ จัดแสดงในเรื่องของแสง ชั้นที่ 4 จัดแสดงพื้นฐาน และเทคโนโลยีในประเทศไทยลักษณะทางภูมิศาสตร์ ธรณีวิทยา นิเวศวิทยา การผลิตด้านการเกษตรและเทคโนโลยีการก่อสร้าง ชั้นที่ 5 คือแสดงการแยกแยะส่วนต่าง ๆ ของร่างกายมนุษย์ รวมถึงสิ่งของเครื่องใช้ในชีวิตประจำวัน และ ชั้นที่ 6 แสดงถึงภูมิปัญญาไทย นอกจากนี้แล้วยังมีอาคารธรรมชาติวิทยาที่จัดแสดงนิทรรศการทางธรรมชาติ

จังหวัดปทุมธานี

คำขวัญประจำจังหวัด

ถิ่นบัวหลวง เมืองรวงข้าว  เชื้อชาวมอญ  นครธรรมะ  พระตำหนักรวมใจ สดใสเจ้าพระยา  ก้าวหน้าอุตสาหกรรม

ตราสัญลักษณ์จังหวัดปทุมธานี

   รูปวงกลม มีสัญลักษณ์ดอกบัวหลวงสีชมพูอยู่ตรงกลาง และรวงข้าวสีทองอยู่ 2 ข้าง ดอกบัวและต้นข้าว หมายถึง ความอุดมสมบูรณ์ด้วยพืชพันธุ์ธัญญาหาร


ประวัติ

     จังหวัดปทุมธานีเดิมชื่อ "เมืองสามโคก" มีความเป็นถิ่นฐานบ้านเมืองมาแล้วไม่น้อยกว่า 300 ปี เป็นเมืองที่ตั้งมาตั้งแต่
สมัยกรุงศรีอยุธยาในแผ่นดินของสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง เมื่อปี พ.ศ. 2175 ต่อมาในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช พ.ศ. 2202 มังนันทมิตรได้กวาดต้อนครอบครัวมอญ เมืองเมาะตะมะ อพยพหนีภัยจากศึกพม่า เข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภารพระองค์จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ครอบครัวมอญเหล่านั้นไปตั้งบ้านเรือนอยู่ที่บ้านสามโคกและในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ก็ได้มีการอพยพชาวมอญครั้งใหญ่จากเมืองเมาะตะมะเข้าสู่ประเทศไทยเรียกว่า "มอญใหญ่" พระองค์ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ชาวมอญบางส่วนตั้งบ้านเรือนอยู่ที่บ้านสามโคกอีกเช่นเดียวกัน จากชุมชนขนาดเล็ก บ้านสามโคกจึงกลายเป็น เมืองสามโคก ต่อมาเมื่อวันที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2358 พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยทรงโปรดเกล้าฯ ให้เปลี่ยนชื่อเมืองสามโคก เป็น เมืองประทุมธานี และเมื่อ พ.ศ. 2461 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงโปรดเกล้าฯ
ให้ใช้คำว่า "จังหวัด" แทน "เมือง" และให้เปลี่ยนการสะกดชื่อใหม่จาก "ประทุมธานี" เป็น "ปทุมธานี" กลายเป็นจังหวัดปทุมธานี ต่อมาเมื่อ พ.ศ. 2475 ในสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงโปรดเกล้าฯ ให้ยุบ
จังหวัดธัญบุรีมาขึ้นกับจังหวัดปทุมธานี จังหวัดปทุมธานีจึงได้แบ่งการปกครองเป็น 7 อำเภอดังเช่นปัจจุบัน
จังหวัดปทุมธานี เป็นจังหวัดในภาคกลางของประเทศไทย มีแม่น้ำเจ้าพระยาไหลผ่าน ตัวเมืองอยู่ ห่างจากกรุงเทพฯไปทางทิศเหนือ ตามทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 1 (ถนนพหลโยธิน) เป็นระยะทางประมาณ 27.8 กิโลเมตร

อาณาเขต

ทิศเหนือ ติดกับจังหวัดพระนครศรีอยุธยา และจังหวัดสระบุรี ทิศใต้ ติดกับจังหวัดนนทบุรี และกรุงเทพมหานคร
ทิศตะวันออก ติดกับจังหวัดนครนายก และจังหวัดฉะเชิงเทรา ทิศตะวันตก ติดกับจังหวัดนนทบุรี จังหวัดพระนครศรียุธยา และจังหวัดนครปฐม

ภูมิประเทศ

พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นที่ราบลุ่มอุดมสมบูรณ์ มีแม่น้ำเจ้าพระยาไหลผ่านใจกลางจังหวัด ในเขตอำเภอเมือง และอำเภอสามโคกมีลำคลองธรรมชาติและคลองชลประทานหลายสาย เช่น คลองควาย คลองเชียงรากน้อย คลองบางเตย
คลองบางโพธิ์ คลองแม่น้ำอ้อม คลองบางหลวง คลองรังสิตประยูรศักดิ์ คลองรพีพัฒน์ คลองหกวา ฯลฯ

การปกครอง

มีพื้นที่ทั้งหมดประมาณ 1,525.856 ตารางกิโลเมตร แบ่งเขตการปกครองออกเป็น 7 อำเภอ คือ อำเภอเมืองปทุมธานี
อำเภอสามโคก อำเภอลาดหลุมแก้ว อำเภอธัญบุรี อำเภอหนองเสือ อำเภอคลองหลวง อำเภอลำลูกกา