วิหารเก่า วัดสะแก ปทุมธานี
รูปแบบศิลปะอยุธยา สมัยพระนารายณ์โดยแท้
โดย จีรพัน์ สมประสงค์
มีผู้คนเข้าไปชมศิลปะโบราณวัตถุ โบราณสถาน ที่วัดสะแก ส่วนมากจะมุ่งไปชมพระอุโบสถ(หลังใหม่) ชมเจดีย์ย่อมุมไม้สิบสอง ชมเจดีย์เก๋งจีน(ถะ) ชมตุ๊กตาคนแคระแบกฐานเสมา รวมทั้งชมใบเสมาหินสลักและเจดีย์กลมทรงลังกา ฯลฯ แต่ทุกคนมักจะลืมและมองข้ามศิลปะโบราณวัตถุ โบราณสถานที่เก่าแก่ที่สุด และน่าจะมีคุณค่าที่สุดของวัดสะแก ไปสิ่งนั้นก็คือบริเวณ”วิหารเก่าวัดสะแก” ซึ่งตั้งอยู่ห่างออกไปทางทิศใต้ของวัด(ถ้าไม่สังเกตจะไม่เห็น) ปัจจุบันวิหารนี้อยู่ในสภาพชำรุดทรุดโทรมมาก แต่กระนั้นก็ยังทิ้งร่องรอยของงานศิลปะกรรมชั้นสูงในสมัยอยุธยาไว้ให้เห็น ให้เราได้ศึกษา ตีความได้บ้างดังนี้
วัดสะแก ปัจจุบันตั้งอยู่เลขที่ 42 หมู่ 2 ตำบลสามโคก อำเภอสามโคก จังหวัดปทุมธานี มีพื้นที่ทั้งหมดประมาณ 37 ไร่ 40 ตารางวา ประวัติการก่อสร้างวัดครั้งแรก เท่าที่พอจะสันนิษฐานจากงานศิลปกรรมที่มีอยู่ในวัดเก่าแก่ที่สุด พอที่จะศึกษาได้ก็คือ วิหารหลังเก่า พระพุทธรูปในวิหารหลังเก่า และเจดีย์ย่อมุมไม้สิบสองหน้าวิหารหลังเก่า 2 องค์นี้เท่านั้น จากการพิจารณาเปรียบเทียบรูปทรง น่าจะมีการสร้างขึ้นในสมัยอยุธยาตอนกลางๆโดยในรูปแบบของงานศิลปกรรมเป็นศิลปกรรมแบบอยุธยาโดยแท้ และในการก่อสร้างวิหารนี้คงมาเสร็จสิ้นลงในสมัยของสมเด็จพระนารายณ์ ซึ่งเขาสู่สมัยอยุธยาตอนปลายนั้นเอง กล่าวคือ
-สมัยอยุธยาตอนต้นนั้นกำหนดตั้งแต่สมัยพระเจ้าอู่ทอง ถึงสมัยพระชัยราชา รวมเวลา 196 ปี (ระหว่างพ.ศ.1893-พ.ศ.2089)
-สมัยอยุธยาตอนกลางกำหนดได้ตั้งแต่สมัยพระยอดฟ้า ถึงสิ้นสมัยพระสุธรรมราชา รวมเวลา 110 ปี (ระหว่างพ.ส.2089-พ.ศ.2199)
-สมัยอยุธยาตอนปลาย กำหนดได้ตั้งแต่สมัยพระนารายณ์ ถึงสิ้นรัชกาลสมเด็จพระที่นั่งสุริยาศอรินทร์ รวมเวลา 111 ปี (ระหว่างพ.ศ.2199-พ.ศ.2310)
การศึกษาเปรียบเทียบรูปแบบของวิหารหลังเก่าวัดสะแก ปทุมธานี วิเคราะห์ได้จากงานสถาปัตยกรรมรุ่นแรกๆ ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์การสร้างโบสถ์ วิหารนั้นจะนิยมก่อผนังหนาใหญ่โต เป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ผนังสูงระดับเดียวกีน ดูที่ด้านตัดทั้งด้านหน้าและด้านหลังวิหารจะมีจั่วไม่ทึบเรียกว่า “หน้าบัน” ที่หน้าบันนี้จะนิยมจำหลักเป็นลวดลายหรือภาพด้วยความวิจิตรประณีต สวยงาม ที่ตรงปีกสองข้างของอาคารจะมีการลดชั้นลงไปติตั้งต่อออกไปเล็กน้อยเป็นชายคาปีกนก ส่วนในวิหารด้านในจะปรากฏมีเสาสองแถว แม้ในสมัยอยุธยาตอนต้นเสานี้จะทำเป็นเสากลม หรือเสาแบบแปดเหลี่ยม มีการก่อสร้างวิหารตามรูปแบบนี้เรื่อยมาจนถึงสมัยอยุธยาตอนปลาย (สมัยพระเจ้าปราสาททอง พ.ศ.2173-พ.ศ.2198) จึงเปลี่ยนแบบเสาหันมานิยมใช้เสาแบบสี่เหลี่ยมและเสาแบบมีย่อมุมไม้สิบสองกัน เสาที่ปรากฎทั้งสองแถวนี้มีหน้าที่รองรับน้ำหนักของจั่วข้างใน หรือรับจันทันเรียงไปตลอดแนว
สมัยอยุธยาตอนต้น ตัวอาคารวิหารจะมีระบบที่ยึดถือตามแบบของสุโขทัยและอู่ทอง คือจะต้องมีชายคาด้านข้างยื่นออกไป จะทีเสารองรับน้ำหนักชายคานี้ไว้ที่สำคัญจะไม่ใช้ คันทวย มารองรับน้ำหนักชายคาและมักจะนิยมเจาะช่องลมเป็นแถวๆเป็นเส้นตั้งตรง เป็นชุด อยู่ระหว่างช่วงเสารองรับชายคาทำให้อาคารเหล่านี้มี พาไล (พื้นที่ระเบียงรอบๆอาคาร)สามารถเดินประทักษิณได้โดยรอบ อาคารแบบนี้ในปทุมธานี ยังมีให้ศึกษาได้ที่วัดสิงห์(วิหารน้อยหลังเก่า)และอีกแห่งที่วัดสะแก อำเภอสามโคก ปทุมธานีนี้เท่านั้น
สมัยอยุธยาตอนกลาง ระบบเสารายรองรับชายคา เป็นพาไลนี้หายไปส่วนตัววิหารจะมีขนาดเล็กลง และมีการนำเอา คันทวยเข้ามาช่วยตั้งรับน้ำหนักของชายคาแทนเสา คันทวยในรุ่นแรกๆจึงปรากฏว่ามีขนาดใหญ่ เทอะทะ และจ งค่อยๆมีการปรับปรุงพัฒนาให้เล็กลงจนกลายไปเป็นแบบชายคาปีกนกแบบสั้นๆทำให้ชายคาไม่ยื่นออกมามาก พบในปทุมธานีคือที่วิหารน้อย วิหารหลังเก่าที่วักสิงห์ อำเภอสามโคก ปทุมธานี จนถึงสมัยสมเด็จพระนารายณ์จึงเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงไป ส่วนที่ช่องหน้าต่างในสมัยกลางนี้ยังคงเจาะผนังเป็นรูปช่องลมคล้ายซี่ลูกกรงอยู่เช่นเดิม จนถึงสมัยพระเจ้าทรงธรรม (พ.ศ.2163-พ.ศ.2171) และสมัยพระเจ้าปราสาททอง (พ.ศ.2173-พ.ศ.2198) จึงได้มีการปฏิรูปช่องซี่ลูกกรงนี้ไปเป็นช่องหน้าต่างสี่เหลี่ยมแทน
สมัยอยุธยาตอนปลาย รัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์(พ.ศ.2199-พ.ศ.2231) ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางสถาปัตยกรรมไทยไปอย่างมาก ด้วยในสมัยนี้มีนายช่าง สถาปนิก วิศวกร และศิลปินที่นำเข้ามาจากประเทศฝรั่งเศส โดยได้ถูกส่งเข้ามาสร้าง โบสถ์ วิหาร วัดวาอาราม อาคาร และป้อมปราการ ตลอดจนพระราชวังต่างๆ ทำให้สังคมขณะนั้นเกิดความนิยมชมชอบไปตามแบบแผนการก่อสร้างตามแบบยุโรปกันโดยทั้วไป เช่น จะนิยมสร้างช่องโค้งที่มียอกแหลม(คล้ายทรงเตารีด)ที่เรียกตามแบบว่า อาร์ค(ในต้นแบบจากศิลปะโกธิค) นำรูปแบบนี้มาผสมกับช่องหน้าต่างสี่เหลี่ยมและมีจั่วรูปสามเหลี่ยมทรงป้านวางไว้เหนือหน้าต่างตามแบบศิลปะยุโรปในยุคเรเนซ้อง เมื่อดูจะแลเห็นว่าผสมปนเปกันไป จนแยกได้อย่างชัดเจนกับศิลปะแบบไทยแม้ศิลปกรรมไทย จะมีการเปลี่ยนแปลงมากที่สุดในสมัยราชทูตฝรั่งเศสที่ชื่อ มองซิเออร์เซอร์วาสิเอร์เดอโชมองต์ เข้ามาเมืองไทย(พ.ศ.2227)ก็ตาม คตินิยมที่ชอบเจาะช่องเล็กๆรูปสามเหลี่ยมบนแผงจั่วที่ผนังด้านในอาคารวิหารนี้ก็ยังคงนิยมใช้กันมาตลอดรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์ไปจนถึงสมัยพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ (พ.ศ.2275-พ.ศ.2301)
สรุปถึงอาคารวิหารหลังเก่าที่วัดสะแก ปทุมธานี ซึ่งมีอิทธิพลของศิลปกรรมอยุธยา สมัยสมเด็จพระนารายณ์ ดังนี้คือ
1.ที่ฐานของวิหารมีลักษณะฐานเป็นเส้นโค้งตลอดแนวโดยรอบ ที่เรียกว่าฐานเส้นโค้งแบบห้องเรือสำเภา ซึ่งเป็นลักษณะเด่นที่มีการก่อสร้างในสมัยอยุธยา
2.มีการเจาะช่องโค้งยอดแหลมที่เรียกว่า อาร์ค ตามแบบศิลปะโกธิคในยุโรป มีปรากฏที่ด้านหลังหน้าบันในวิหารเก่าวัดสะแก ปทุมธานี ตามแบบศิลปะอยุธยาสมัยพระนารายณ์โดยแท้ ช่องโค้งที่เจาะไว้นี้เชื่อกันว่าเจาะไว้เพื่อบรรจุพระพิมพ์ดินเผาขนาดใหญ่ไว้
3.มัช่องหน้าต่างรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าเพียงด้านละ 1 ช่องที่ผนังข้างอาคาร ช่องหน้าต่างมีขนาดไม่ใหญ่มาก พอดูเหมาะกับตัวอาคารทั้งนี้เพื่อให้แสงสว่างเข้าไปในตัวอาคารได้มากขึ้นกว่าแบบเก่า ตามรูปแบบของศิลปกรรมอาคารสมัยอยุธยาตอนปลาย
4.มีผนังหุ้มกลอง (ผนังด้านหน้าหลังอาคารที่มีจั่วอยู่ด้านบน) ทำการก่อสร้างแบบก่ออิฐถือปูน มีความหนา และทำการฉาบถึงส่วนบนสุด (ถึงอกไก่) ตามแบบศิลปะสมัยอยุธยาตอนปลายโดยแท้
5.มีหน้าบันเป็นภาพปูนปั้นลวกลายกนกโค้ง แทนหน้าบันที่จำหลักด้วยไม้แบบเดิม
6.ลวดลายนกโค้งลายก้านขดเป็นวงโค้งตามแบบอิทธิพลฝรั่งเศส แนวศิลปะแบบรอคโคโค แต่ที่วัดสะแกนี้ ลวกลายยังไม่เป็นแบบฝรั่งเศสมากนัก ยังคงผูกลายก้านขดแบบไทยๆให้คงอยู่ได้มาก
7.ที่ชายคาวิหารเก่า วัดสะแกปทุมธานี นี้ด้านข้างสันนิษฐานว่าน่าจะมีชายคาปีกนกเล็กๆ แต่คงชำรุดแตกหักสูญหายไปหมด ทุกวันนี้จึงไม่มีปรากฏให้เห็น
8.วิหารเก่า วัดสะแก ปทุมธานีนี้ มีลักษณะเป็นวิหารแบบทรงขนาดเล็กๆไม่มีเสาปรากฎด้านในของวิหารอันเป็นลักษณะการก่อสร้างตามแบบศิลปกรรมสมัยอยุธยาโดยแท้
ภายในวิหารเก่าที่วัดสะแก ปทุมธานีนี้ ยังปรากฎว่ามีพระพุทธรูปปูนปั้นที่มีลักษณะเก่าแก่ถึงสมัยอยุธยา(โดยดูจากลักษณะตามปฏิมาวิทยา) เป็นพระพุทธรูปประทับนั่งขขัดสมาธิราบปรางมารวิชัย ก่อด้วยอิฐถือปูนฉาบผิวเรียบ มีร่องรอยของการลงรัก ปิดทอง ประทับนั่งหันพระปฤษฏางค์(หลัง)หันชนกันทั้ง 4 องค์ มีองค์ประธานด้านหน้าทางเข้าวิหารเท่านั้นที่มีองค์ขนาดใหญ่ ส่วนอีก 3 องค์หันพระพักตร์ออกไปทั้ง 3 ทิศ ซึ่งจะมีขนาดเล็กรองลงไป พระพุทธรูปทั้ง 4 องค์ 4 ทิศซึ่งประทับนั่งหันหลังชนกันนี้ตรงกลางจะปรากฎรองรอยของพระเจดีย์ดูคล้ายเจดีย์สี่เหลี่ยมย่อมุมไม้สิบสองขนาดเล็กตั้งเป็นตัวเชื่อมด้านหลังพระปฤษฎางค์ทุกองค์สันนิษฐานว่าองค์พระเจดีย์คงมียอดสูง ชาวบ้านเรียกพระพุทธรูปนี้ว่า “พระบังเงา” โดยเล่าสืบต่อกันมาว่า เจดีย์ที่อยู่ตรงกลาง หลังองค์พระทั้งสี่องค์นี้ด้านล่างของเจดีย์จะเป็นอุโมงค์สร้างเอาไว้เพื่อทำเป็นหลุมเอาไว้หลบภัยจากข้าศึกที่มารุกราน พระประธานที่วิหารเก่าวัดสะแก ปทุมธานีนี้ จึงเป็นพระประธานที่แปลกมาก และมีการพบได้น้อยมากในประเทศไทย ส่วนในจังหวัดปทุมธานี พบที่วิหารเก่าวัดสะแกนี้ เท่านั้น
มีข้อสันนิษฐานที่น่าคิดมากคือมีการสร้างพระพุทธรูปลักษณะนี้ ที่เมืองหงสาวดี ในประเทศพม่ามาก่อน คือพระเจดีย์ไจปุน(KYAIPUN PAGODA) ซึ่งปัจจุบันอยู่ในประเทศพม่า เจดีย์ไจปุนนี้สร้างขึ้นโดย พระเจ้าธรรมเจดีย์ แห่งเมืองหงสาวดี ไม่ทราบปีพ.ศ. ในการสร้างเป็นเจดีย์ขนาดใหญ่ที่มีรูปทรงแปลกมากคือ เป็นสถาปัตยกรรมพระพุทธรูปก่ออิฐถือปูนประทับนั้งหันหลังพิงกัน 4 องค์เป็นปางมารวิชัย มีขนาดองค์พระใหณ่โตมาก สูงกว่า 20 เมตรทั้ง 4 องค์ หันหลังพิงกันหันหน้าออกไปทั้ง 4 ทิศอันหมายถึงพระอริยาบทพระพุทธเจ้าประจำทิศทั้ง 4 คือ
-พระกกุสันโธ ประจำทิศตะวันออก
-พระโกนาคมน์ ประจำทิศใต้
-พระกัสสปะ ประจำทิศตะวันตก
-พระโคคม ประจำทิศเหนือ
ที่ตรงกลางของด้านหลังองค์พระพุทธรูปทั้ง 4 องค์เป็นตัวอาคารก่อขึ้นเป็นรูปทรงสถูป เพื่อบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ รูปแบบอันเป็นลักษณะเด่นเฉพาะของเจดีย์ไจปุน แห่งนี้ ได้ส่งอิทธิพลทางด้านศิลปกรรมในการสร้างสถูปเจดีย์ ให้ประเทศไทยอยู่เฉพาะช่วงหนึ่งคือในสมัยอยุธยา เช่นที่วัดภูมินทร์ จังหวัดน่าน จังหวัดปทุมธานี แห่งที่กำลกล่าวถึงอยู่นี้ เท่านั้น
บทสรุปในเนื้อเรื่องนี้จึงอาจคาดเดาได้ว่า ชุมชนบริเวณนี้น่าจะเป็นกลุ่มชนชาวมอญ-พม่าที่อพยพเข้ามาในประเทศไทย และคงเป็นกลุ่มชนลกุมแรกที่มาจากเมืองหงสาวดี และเมืองเมาะตะมะ ซึ่งสมเด็จพระนารายณ์ทรงให้เข้ามาตั้งบ้านเรือนอยู่ที่ท้ายบ้านสามโคก ปทุมธานี ช่วงสมัยอยุธยาตอนปลาย ราว พ.ศ.2203 (ถึงวันนี้ก็ประมาณ 338 ปีพอดี) ชาวมอญ-พม่าเหล่านี้ได้จดจำรูปแบบดังกล่าวติดเข้ามาด้วย เมื่อสะสมศรัทธาประกอบกับมีโอกาศเหมาะพอดี จึงได้ร่วมกันทำการสร้างพระประธานทรงดังกล่าวขึ้นที่วัดสะแก ปทุมธานี แห่งนี้และคงสร้างขึ้นภายหลังจากการสร้างวิหารเสร็จแล้วด้วย ถ้าพิจารณาให้ดีจะพบว่า พระประธาน กับตัววิหารไม่ค่อยมีความสัมพันธ์กันเท่าไรนัก
ส่วนด้านหน้าภายนอกวิหารเก่าวัดสะแก ปทุมธานีแห่งนี้ ปัจจุบันยังปรากฏให้เห็นเจดีย์เหลี่ยมย่อมุมไม้สิบสอง 2 องค์มีรูปแบบเก่าแก่อันเป็นศิลปกรรมที่นิยมสร้างประกอบไว้หน้าพระวิหารกันอย่างมากมายในสมัยอยุธยาตอนปลาย สภาพเจดีย์เหลี่ยมย่อมุมไม้สิบสองทั้งสององค์มีสภาพที่ชำรุดทรุดโทรมมาก ลักษณะของเจดีย์ ตัวองค์ระฆังเป็นรูปทรงสี่เหลี่ยมมีย่อมุม โดยแต่ละมุมทั้ง 4 ด้านของเจดีย์ จะบากเป็นมุมย่อ 3 มุมทั้ง 4 ด้าน(12 มุม) ย่อมุมนี้มีขนาเล็กๆ ซึ่งถ้าเป็นรูปแบบของเจดีย์ย่อมุมไม้สิบสองในระยะแรกๆ (อยุธยาตอนต้นๆ) จะนิยมทำย่อมุมนี้มีขนาดใหญ่และหนามาก ขนาดของเจดีย์ที่หน้าวิหารเก่าวัดสะแกนี้ มีขนาดรูปทรงสมส่วนดีมากคือดูโปร่ง เพรียว เรียวชะรูดขึ้นไป เมื่อดูเปรียบเทียบกับอาคารวิหารเก่าแล้วจะดูเหมาะสมกันได้ดี (ส่วนเจดีย์ทรงกลมลังกานั้นไม่พบ) คำว่าเจดีย์ย่อมุม และมีคำว่า ”ไม้” เข้ามาต่อท้ายคำด้วยนี้ก็คงเกิดขึ้นจากการยืมเอาคำของงานช่างไม้มาใช้เรียก แต่ด้วยเจดีย์เป็นงานก่ออิฐถือปูน จึงทำให้บางทีเข้าใจกันสับสนไปว่าเป็นเจดีย์ไม้หรือปูนกันแน่ คงเป็นด้วยเพราะการงานช่างสมัยโบราณ การก่อสร้าทุกแขนงจะต้องมีช่างไม้เข้าไปเกี่ยวข้องอยู่ด้วยเสมอ เลยทำให้เกิดมีการแลกเปลี่ยนขอยืมคำกันมาใช้นั้นเอง เช่น ครั้งหนึ่งสมเด็จกรมพระยานริศรานุวัติวงศ์ ทรงใช้คำที่เป็นงานช่างไม้ แทนการออกแบบงานอยู่เสมอๆคือตอนทำงานปราสาทหรือซุ้มเรือนแก้ว ที่ได้ทรงทำการคัดลอกงานเป็นลายเส้น มาจากงานจิตรกรรมฝาผนังที่คูหาในพระปรางค์วัดมหาธาตุ จังหวัดราชบุรี พระองค์ท่านเองก็ยังใช้คำว่า “ฟันไม้” แทนการเรียกชื่อของเส้นลวดลายหยักๆของเส้นซุ้มเรือนแก้ว ทรงบันถึกว่า “ซุ้มเรือนแก้วนี้ได้ขีดเส้นฟันไม้ทรงนอกมาดูนี่แล้ว” เป็นต้น
ข้อมูลจาก...ชมรมอนุรักษณ์ศิลปกรรมและสิ่งแวดล้อม โรงเรียนคณะราษฎร์บำรุงปทุมธานี
ชั้น 2 อาคารปัทมา โทร 025816559 ต่อ 122